ระดับอุดมศึกษา รางวัลรองชนะเลิศอันดับ ๑ นาย อัศวุธ อุปติ นิสิตชั้นปีที่ ๔ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การประกวดเรียงความ
หัวข้อ “ฉันรักเมืองไทย” จัดโดย
มูลนิธิทรัพย์ปัญญา ร่วมกับ กองทัพเรือ GPSC และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ระดับอุดมศึกษา รองชนะเลิศอันดับ 1
นายอัศวุธ อุปติ นิสิตชั้นปีที่ ๔ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรือหงส์สิบรัชกาล ล่องสายธารความเป็นไทย
“นาวาสถาปัตย์ ช่างเชี่ยวชัดชาญเชิงเช่น
ยิ่งยลยิ่งเยือกเย็น เห็นสายศิลป์ถิ่นไทยคง...”
เสียงเห่เรือลอยทำนองสงบนิ่งราวเป็นหนึ่งเดียวกับความสงบเย็นของแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพเบื้องหน้าคือขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ เมื่อได้เห็นเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เคลื่อนผ่านไป ราวกับภาพเบื้องหน้าคือภาพนกที่กำลังเหินบินอยู่บนปุยเมฆ ความรู้สึกภาคภูมิใจในฐานะที่ได้เกิดเป็นคนไทยก็พลันเกิดมีขึ้น เพราะความเป็นไทยที่เกิดขึ้นอยู่นี้เป็นเสียงที่ซึ้งซาบและเป็นภาพที่งดงามจากภูมิปัญญาทางศิลปกรรมและนาฏกรรมหลวงที่สืบทอดกันมาเกินกว่าร้อยปี ความเปรียบในบทเห่เรือของพลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ที่เปรียบเรือพระที่นั่งเป็น ‘นาวาสถาปัตย์’ ดูจะไม่เกินจริง เพราะเป็นสถาปัตย์ที่เกิดจากภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของช่างศิลป์ไทยที่เสมือนเป็นสมบัติของสายน้ำและเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของแผ่นดิน หากไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็คงไม่มีวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่และแสดงความเป็นไทยได้ชัดเจนเช่นนี้
เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดสองศตวรรษที่ผ่านมาของแผ่นดินรัตนโกสินทร์ พบว่าความเป็นไทยได้สถาปนามาอย่างมั่นคงและสง่างามตามแต่ละช่วงเวลาที่สัมพันธ์กับแต่ละรัชสมัย นับตั้งแต่กอบกู้เอกราชให้แผ่นดินและได้ฟื้นฟูบ้านเมืองมาถึงการย้ายราชธานี พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชไม่เพียงแต่เสกสร้างบ้านเมืองให้ยิ่งใหญ่เสมือนอยุธยาที่ ‘ลอยสวรรค์ ลงฤๅ’ มา หากแต่ยังทรงเล็งเห็นคุณค่าของความรักความสามัคคีของประชาชนว่าจะเป็นอีกหนึ่งกำลังที่สำคัญในการฟื้นฟูประเทศจากการถอดบทเรียนเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ โดยทรงตรากฎหมายสามดวงเพื่อให้เกิดความสุขสงบภายใน และทรงปราบกบฏภายนอกที่เรารู้จักในชื่อ ‘สงครามเก้าทัพ’ หรืออีกชื่อคือสงครามท่าดินแดง พระองค์ยังทรงประพันธ์วรรณคดีเรื่องเพลงยาวนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดงเพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญกับชาติบ้านเมืองก่อนสิ่งอื่นใดของทหารอันจะนำมาซึ่งความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนของประชาชน สิ่งนี้แสดงความเป็นไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ทรงรังสรรค์ไว้มาจนกระทั่งปัจจุบันที่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ทั้งโรคระบาดและภัยธรรมชาติ เราจะเห็นผู้คนปฏิบัติตามกฎที่ผู้นำตั้งไว้อย่างเคร่งครัดและช่วยเหลือกันและกันเพื่อพากันนำชีวิตและประเทศรอดพ้นจากอันตราย เป็นรากฐานความเป็นไทยที่งดงามจากภายในอันเกินกว่าวัตถุทางวัฒนธรรมใด ๆ จะเทียบเท่าได้
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพัฒนาวัฒนธรรมภายในด้วยวรรณคดี บทพระราชนิพนธ์แต่ละเรื่องล้วนเป็นรากฐานทางวัฒนธรรม อาทิ บทละครนอกทั้ง ๕ เรื่อง ได้แก่ ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง มณีพิชัย ไกรทอง และคาวี ล้วนแต่เป็นนิทานไทยที่มีมาช้านาน หากแต่การที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเป็นบทละครทำให้นิทานไทยเหล่านี้ได้เข้าไปสู่ความรับรู้ของชาวบ้านผ่านนาฏกรรมหรือศิลปกรรมต่าง ๆ กระทั่งกลายมาเป็นต้นฉบับนิทานในแบบเรียนให้เยาวชนได้ศึกษาภูมิปัญญาการเล่าเรื่องอภินิหารอัศจรรย์แทรกข้อคิดของบรรพชน เช่นเดียวกับที่สมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามขึ้นเพื่อเป็นสำนักตักศิลาให้ประชาชนได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย ทั้งภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทย ด้านฉันทลักษณ์คำประพันธ์ไทย หรือแม้กระทั่งด้านความเชื่อและประเพณีไทย ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนได้อย่างไม่แบ่งชนชั้นมาจนถึงปัจจุบัน มิเพียงแต่คนไทยเท่านั้น หากต่างชาติที่สนใจจะศึกษาความเป็นไทยทั้งสถาปัตยกรรมและภูมิปัญญาย่อมนึกถึงวัดโพธิ์เป็นที่แรก
ขณะที่โลกฝั่งตะวันตกกำลังตื่นตัวกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแสดงพระปรีชาสามารถในการใช้ความรู้ทางโหราศาสตร์แบบไทยที่ศึกษาตำแหน่งการโคจรของดวงดาวผนวกรวมกับการศึกษาแบบตะวันตกเรื่องการเคลื่อนที่ของดวงดาวทางดาราศาสตร์ จนทรงสามารถทำนายการเกิดสุริยุปราคาได้ล่วงหน้าถึง ๒ ปี นับเป็นกษัตริย์ผู้เป็นต้นแบบในการรับอิทธิพลตะวันตกมาปรับใช้กับภูมิปัญญาดั้งเดิมได้อย่างเหมาะสมและสร้างประโยชน์ ซึ่งยังผลให้พระราชโอรสคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติแล้วก็ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจในการนำความเจริญทางนวัตกรรมต่าง ๆ ของตะวันตกเข้ามาสร้างความเป็นอารยะให้แก่แผ่นดินจนอาจกล่าวได้ว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานของสังคมในปัจจุบันอย่างระบบขนส่งสาธารณะ ไปรษณีย์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอื่น ๆ ล้วนแต่เป็นผลมาจากการสร้างชาติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทั้งสิ้น เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงได้รับการศึกษาจากตะวันตกและนำความรู้ภูมิปัญญาของตะวันตกเข้ามาปรับใช้ในภูมิปัญญาไทย สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดคือการสร้างวรรณคดีของพระองค์ที่ทรงนำงานของกวีคนสำคัญของโลกอย่างเช็กสเปียร์มาดัดแปลงเป็นบทละครเรื่องต่าง ๆ หรือแม้แต่การสร้างวรรณคดีที่ยิ่งใหญ่อย่างมัทนะพาธาซึ่งเป็นบทละครพูดคำฉันท์เพียงเรื่องเดียวของประเทศก็แสดงให้เห็นถึงการนำเอาความรู้วิทยาการทางบทละครของโลกตะวันตกมาผนวกรวมกับลักษณะคำประพันธ์อย่างคำฉันท์ของโลกตะวันออกผ่านวัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ไทยอย่างลงตัว เรียกได้ว่าตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔-๖ เป็นช่วงเวลาแห่งการปรับความเป็นไทยไปสู่ความเป็นสากล เพื่อให้เรามิเป็นเพียงประชากรไทย แต่ยังเป็นประชากรโลกอีกด้วย เหตุนี้เองที่ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในไม่กี่ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจการครอบครองของจักรวรรดินิยมในยุคนั้น
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสิ่งสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่แผ่นดินไทย ด้วยทรงเห็นว่าเป็นการให้อำนาจแก่ประชาชนผู้ได้รับการศึกษามาจนสามารถใช้ความรู้ในการบริหารบ้านเมืองได้แล้ว แม้การกระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นจะค่อนไปทางการบีบบังคับขู่เข็ญ หากแต่ความเป็นไทยภายในก็ยังสามารถเห็นได้จากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือลักษณะและความประนีประนอมชนิดบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ทำให้ประเทศก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงแสดงความเป็นพุทธมามกะอย่างชัดเจนแม้จะทรงได้รับการศึกษาและเติบโตในต่างประเทศ เพราะความเป็นคนไทยนั้นอยู่ในจิตวิญญาณ มิใช่การปลูกฝัง ดังที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเมื่อครั้งเสด็จวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหารว่า “ที่นี่สงบเงียบน่าอยู่จริง” สะท้อนให้เห็นวิถีไทยที่ ‘รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด’ กระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์นักพัฒนา ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงพัฒนาถึงขีดสุดในทุกด้านและยังผลให้เกิดการพัฒนาชนิด ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด’ มาจนรัชสมัยปัจจุบัน
การได้ชมประเพณีหลวงในครั้งนี้ มิเพียงแต่ทำให้ได้เห็นว่าความเป็นไทยยังคงอยู่ในทุกขั้นตอนของพระราชพิธีแม้จะผ่านหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ยังทำให้เห็นสายธารของความเป็นไทยที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และยุคสมัยของโลกที่สามารถดำรงไว้ได้มาจนปัจจุบัน รากฐานทางวัฒนธรรมภายใน วัตถุทางวัฒนธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี จารีตและบรรทัดฐานทางสังคม สิ่งเหล่านี้ล้วนหล่อหลอมให้ความเป็นไทยงดงามไม่ว่าจะแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม และความเป็นไทยอย่างนี้จะเกิดขึ้นมิได้หากไม่ได้อยู่ใต้ร่มบรมโพธิสมภารอันเป็นต้นธารความเป็นไทยที่ยิ่งใหญ่ หากจะกล่าวว่าฉันรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทยก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริงนัก เพราะได้ตระหนักและเข้าใจว่าความเป็นไทยเกิดมาจากอะไรดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้น ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความเป็นไทยนี้จะยังดำรงอยู่เคียงคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์และความสามัคคีของประชาชนอย่างมิใช่เพียงคำพยากรณ์ หากแต่เป็นคำสัญญาของคนไทยคนหนึ่งที่พอจะทำได้ต่อแผ่นดินที่รักนี้
“ชื่นเห่ชมเรือหงส์ ร่มไตรรงค์สุขจีรัง
ถึงยากหากชีพยัง จักธำรงเพราะรักไทย”
--------------------------------------