Please wait...

ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ นาย สิรภพ เก่าเงิน นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ คณะบริหารธุรกิจ ม.รามคำแหง

ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ นาย สิรภพ เก่าเงิน นักศึกษาชั้นปีที่ ๒ คณะบริหารธุรกิจ ม.รามคำแหง















          การประกวดเรียงความ
หัวข้อ “ฉันรักเมืองไทย” จัดโดย
มูลนิธิทรัพย์ปัญญา ร่วมกับ กองทัพเรือ GPSC และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ 
นายสิรภพ เก่าเงิน ชั้นปีที่ ๒ สาขาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ ม.รามคำแหง
 “แทบไม่ต้องถาม ประเทศชาติให้อะไร เป็นไทย คนไทย ต้องตอบแทน ข้าคือคนไทย ไม่เคยลืมชาติพันธุ์ จะอยู่ที่ใด จะตายที่ใด วิญญาณก็เป็นคนไทย” ทุกครั้งที่ได้ยินบทเพลง ‘ข้าคือคนไทย’ ที่แม่เคยเปิดให้ฟังผ่านเครื่องเสียงตัวเก่าที่บ้าน ฉันไม่แน่ใจว่าแม่แค่เปิดเพื่อความบันเทิงหรือต้องการปลุกใจให้ฉันภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยกันแน่ แม้ไม่เคยถามอย่างตรงไปตรงมา แต่ทุกครั้งที่แม่หยิบใบสูติบัตรออกมาให้ดูตอนจะถ่ายสำเนาไปสมัครเรียน ฉันจะชี้ที่ช่อง ‘สัญชาติ’ และ ‘เชื้อชาติ’ ซึ่งใส่คำว่า ‘ไทย’ ไว้ในช่องว่างเหมือนกัน แม่อธิบายให้วัยผ้าขาวเข้าใจง่าย ๆ ว่า สัญชาติไทยได้จากการเกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินนี้ ส่วนเชื้อชาติไทยคือสายเลือดที่ไหลเวียนแล่นพล่านอยู่ในกาย “รู้ไหมว่าลูกโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย?” แม่ทิ้งคำถามไว้เป็นประโยคปลายเปิดให้ฉันครุ่นคิด
แม่ขี่รถไปส่งฉันที่โรงเรียนทุกเช้า กิจกรรมประจำวันที่ต้องทำร่วมกับเพื่อน ๆ คือการยืนตรงเคารพธงชาติ ฉันไม่เคยตั้งคำถามกับคุณครูด้วยซ้ำว่าทำไมเราจึงต้องเชิดหน้าสู้แดดร้อนเพื่อแหงนมองขึ้นไปดูริ้วผืนธงสามสีโบกสะบัดเหนือยอดเสา เคล้าเสียงเพลงชาติที่ขึ้นต้นด้วย ‘ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย’ ก่อนจะลงท้ายด้วย ‘เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย’ แม้แต่ชาวบ้านร้านตลาดก็ยังหยุดยืนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงเหมือนต้องมนต์สะกด จะมีประเทศไหนในโลกที่ทุกแปดโมงเช้าและหกโมงเย็นผู้คนจะยืนสำรวมเพื่อระลึกถึงสัญลักษณ์บนแถบสีของธงไตรรงค์ที่ครูพร่ำสอน
‘สีแดง’ คือ ‘ชาติ’ ในกลุ่มสาระสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ คุณครูเปิดโอกาสให้ฉันและเพื่อน ๆ ตั้งคำถามที่ยังสงสัยหลังสิ้นสุดบทเรียนเรื่อง ‘ประวัติศาสตร์ไทย’ ฉันยกมือ ‘ไทย’ แปลว่าอะไรครับ? ‘อิสระ’ ครูตอบสั้น ๆ อย่างนั้น  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรตามใจก็ได้อย่างที่ใครเคยบอกว่า ‘ทำอะไรตามใจคือไทยแท้’ แค่อยากให้เราภาคภูมิใจใน ‘เอกราช’ ที่บรรพบุรุษยอมเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินให้รอดพ้นจากภัยสงครามและระบบอาณานิคม
‘สีขาว’ คือ ‘ศาสนา’ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ยังหมายรวมถึงอิสลาม คริสต์ พราหมณ์ฮินดู และลัทธิความเชื่ออื่น ๆ ด้วย เพราะประเทศของเราเป็นพหุสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เราอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างอย่างเคารพและให้เกียรติกัน คุณครูสอนว่า ‘ความคิดแตกต่าง’ เป็นเรื่องปกติวิสัยของคนร้อยพ่อพันธุ์แม่ แต่ต้องไม่แตกแยกและระลึกอยู่เสมอว่าพวกเราล้วนเป็นคนไทยเหมือนกัน ควรรักและสมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
‘สีน้ำเงิน’ คือ ‘พระมหากษัตริย์’ ตั้งแต่จำความได้ฉันก็เห็นในหลวงรัชกาลที่ ๙ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของพสกนิกรไทยมาโดยตลอด ปรัชญาความคิดที่ครอบครัวเกษตรกรของเราน้อมนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตคือ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ด้วยพื้นเพเดิมที่เป็นคนต่างจังหวัดในสังคมชนบท ฉันมีความสุขกับการใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย มีความสมถะประหยัดอดออม จนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มาเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ นิเวศชีวิตของฉันเปลี่ยนไปกลายเป็นสังคมที่อัตราเร่งชีวิตรวดเร็วขึ้น โลกแห่งเทคโนโลยีและการสื่อสารไร้พรมแดนหมุนไปอย่างรวดเร็วจนฉันเกือบปรับตัวไม่ทัน แต่ยังโชคดีที่แม่เตือนสติให้ฉันระลึกถึงหลักความพอประมาณ การมีเหตุผล จนเกิดภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำให้ฉันมุ่งมั่นตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่หลงใหลไปกับอบายมุข ตั้งเป้าหมายนำความรู้หลังเรียนจบมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง ครอบครัว และท้องถิ่นให้เกิดความสุขอย่างยั่งยืน
ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบัน คนไทยยังคงโชคดีที่อยู่ภายใต้ร่มพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่ยังคง ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด’ พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ไว้ให้คงอยู่ ฉันยังจดจำเหล่าน้องพี่ ‘จิตอาสาพระราชทาน’ ได้ดีในยามที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคระบาด หรือความเดือดเนื้อร้อนใจอันใดก็ตาม ‘น้ำใจ’ ของคนไทยคือสิ่งที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก ทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันฝ่าฟันทุกอุปสรรคปัญหา แม้ไม่มีอามิสสินจ้าง ได้รับ ‘รอยยิ้ม’ และคำว่า ‘ขอบคุณ’ เป็นรางวัลตอบแทนความเสียสละ ซึ่งนับประเมินคุณค่าเป็นราคาเงินไม่ได้ แต่พวกเขาก็ภูมิใจที่ได้ตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินตามกำลังกายและสติปัญญาความสามารถของตัวเอง จึงเป็นแบบอย่างให้ฉันสมัครเข้าร่วมชมรมจิตอาสาของมหาวิทยาลัยเพื่ออุทิศตนไปสอนหนังสือให้เด็กยากไร้ในชนบทห่างไกลช่วงปิดเทอมใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่ตะเข็บชายแดนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนยังคงต้องการ ‘สัญชาติไทย’ ชวนให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมการเป็น ‘ฅนไทย’ ที่ใช้ ‘ฅ ฅน’ จึงมีคุณค่าและความหมายกับพวกเขามากมายขนาดนั้น
หากมองด้วยกรอบความคิดของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์คนไร้สัญชาติและชาวต่างประเทศที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย พวกเขามองว่า ‘สัญชาติไทย’ คือหนึ่งในสัญชาติที่ได้ยากที่สุดในโลก ยกตัวอย่างกรณี ‘โค้ชเช’ ชัชชัย เช กว่าจะได้มาซึ่งสัญชาติไทยต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติด้วยการนำนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยคว้าเหรียญรางวัลจากมหกรรมกีฬายิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติมานับครั้งไม่ถ้วน ภาพของโค้ชเชและน้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ชูธงชาติไทยและร้องเพลงชาติดังกึกก้องตอนพิธีมอบเหรียญรางวัลยังติดตรึงในห้วงทรงจำของฉันตอนที่ขยับปากร้องตามหน้าจอโทรทัศน์ด้วยเสียงสั่นเครือและมีหยาดน้ำรื้นหน่วยตา
ฉันย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ยังมีคนอีกมากมายขนาดไหนที่อยากพิสูจน์ความตั้งใจของตัวเองว่าอยากเป็นคนไทย แล้วตัวเราเองล่ะ? ที่มีโอกาสได้เป็นคนไทยตั้งแต่แรกเกิดได้ทำประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติบ้าง ในยุคสมัยที่ ‘ส่วนตัวสูง’ แต่ ‘ส่วนรวมต่ำ’ ท่ามกลางปัญหามากมายที่ประเทศชาติต้องเผชิญในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม การศึกษา หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้หลายคนเกิดความสั่นคลอนในจุดยืนของการเป็น ‘ไทย’ หากยังจดจำกันได้ช่วงที่เชื้อไวรัส โควิด-๑๙ ระบาดหนัก จนต้องปิดประเทศเพื่อสวัสดิภาพความปลอดภัยและเหตุผลเชิงสุขอนามัย ทำให้เกิดกระแส ‘ย้ายประเทศ’ ในกลุ่มคนที่ตกงานหรือประสบวิกฤติทางการเงิน จึงพยายามมองหาโอกาสใหม่ในต่างแดน
ฉันเป็นคนหนึ่งที่น้อมนำหลัก ‘อริยสัจสี่’ ของพระพุทธเจ้าอันเป็นปรัชญาความคิดในการแก้ไขปัญหาชีวิตมาเรียกสติตัวเองไม่ให้โยกไหวสั่นคลอนกับไปปัญหาโรคระบาด ที่คนทั้งชาติกำลังเผชิญด้วยกันอยู่ เมื่อพินิจดูจะพบว่าอะไรคือต้นเหตุแห่งปัญหา มีทางเลือกใดบ้างให้เราสามารถข้ามพ้นอุปสรรคทั้งหลายไปได้โดยไม่จำเป็นต้องหนีปัญหาด้วยการโยกย้ายประเทศ ฉันพบว่าคนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะหยัดยืนอยู่บนผืนแผ่นดินแม่ บนมาตุภูมิผืนเดิมที่หล่อเลี้ยงอุ้มชูเรามา และเท่าที่ติดตามชีวิตของคนไทยที่ตัดสินใจโยกย้ายไปทดลองใช้ชีวิตในต่างแดนก็มักพบว่า ไม่มีที่ไหนจะอบอุ่น ปลอดภัย และมีความสุขเหมือนได้อยู่ที่ ‘บ้าน’ ของเรา
ฉันขอใช้คำว่า ‘บ้าน’ แทนคำว่า ‘ประเทศไทย’ เป็นคำสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่แฝงเร้นล้านความหมายไว้ในคำเดียว บ้านหลังนี้มีประชากรกว่า ๗๐ ล้านคน เราเป็นประเทศที่เรียกเพื่อนร่วมชาติผู้ไม่รู้จักกันมาก่อนเสมือนญาติพี่น้องว่าลุงป้าน้าอาได้อย่างสนิทใจ เราหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กันละกันในยามยากลำบาก ฉันเรียกสิ่งนี้ว่า ‘น้ำใจ’ ที่ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาอังกฤษให้คนต่างชาติเข้าใจได้อย่างไรจนกว่าพวกเขาจะสัมผัสกับประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง คนไทยล้วนยิ้มได้ทั้งในยามสุขและทุกข์เพื่อส่งกำลังใจให้กัน หลายคนขนานนามว่า ‘ยิ้มสยาม’ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ใช้แค่ปาก แต่ยิ้มออกมาจากแววตาและหัวใจ ฉันย้อนกลับมาเปิดเพลง ‘ข้าคือคนไทย’ ฟังกับแม่อีกครั้ง ด้วยวัยที่เปลี่ยนไป ด้วยความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ ‘ความรัก’ และ ‘ความภาคภูมิใจ’ ที่ได้เกิดเป็นคนไทย จึงพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘ฉันรักเมืองไทย’………….‘ข้าคือคนไทย ไม่เคยลืมชาติพันธุ์ จะอยู่ที่ใด จะตายที่ใด วิญญาณก็เป็นคนไทย”
---------------------------------------



 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
         
          
Share this post :

วาสาร ที่เกี่ยวข้อง

widget